Description
พระศิวะนาฏราช ผู้เป็นบรมครูทางนาฏศิลป์นั้นกล่าวว่าแต่เดิมมีฤาษีมิจฉาทิฐิและอสูรเตี้ยชื่อมุละยะกะหรือมูลาคนี ต่างชักชวนกันเสพสุรานารีละเลิกการบูชาพระเป็นเจ้า พระอิศวรได้ลงมาปราบมิจฉาทิฐิมนต์ของเหล่าฤๅษีก็พ่ายแพ้ไม่อาจทำอันตรายต่อพระองค์ เมื่ออสูรมูลาเจ้าเล่ห์เข้ามาช่วยพวกฤๅษีก็ถูกพระเป็นเจ้าเหยียบหลังแล้วทรงร่ายรำอยู่เหนือร่างอสูรเป็นการประกาศชัยชนะท่าฟ้อนรำทั้ง 108 ท่าขององค์พระศิวะนี้เป็นท่าพื้นฐานสำหรับวิชานาฎยศาสตร์ อันเป็นท่ารำต้นแบบของชาวอินเดีย และแพร่หลายมาถึงเขมร และไทย ผู้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมของอินเดียสืบต่อมา ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูนั้นเชื่อว่าจังหวะการร่ายรำของพระศิวะอาจบันดาลให้เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนให้พระองค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี โลกจึงจะร่มเย็นเป็นสุข หากพระองค์โกรธกริ้วด้วยการร่ายรำในจังหวะที่รุนแรงแล้วก็ย่อมจะนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่โลกนานัปการด้วยเหตุดังนี้นาฏศิลป์ไทยจึงนับถือพระศิวะเป็นครูสูงสุดในการไหว้ครูจะต้องมีการอัญเชิญหัวโขนพระอิศวรมาเป็นประธานทุกครั้งไปเพื่อความสวัสดิมงคล…
🔱 คาถาบูชาพระศิวะ โอม นะมัส ศิวายะ (สวด3จบ)
บทสรรเสริญ โอม กระปูระเคารัม กรุณาวะตารัมสัมสาระสารัม ภุชะเคน ทระหารัมสะทาวะสันตัม หะริทะยาระวินเทภะวัมภะวาณิ สะหิตัม นะมามิ…